“สาว สาว สาว กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่นะ”
ช่วงสายของวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 รุ่นพี่คนหนึ่งได้พูดประโยคดังกล่าวขึ้นมาในห้องที่ผมนั่งทำงาน และในขณะเดียวกัน ก็มีเพื่อนส่งข้อความคล้ายๆ กันมาให้ผม ว่าทางเกิร์ลกรุ๊ปในตำนานอย่าง สาว สาว สาว กำลังจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 34 ปี หลังจากที่จัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถึงแม้ว่าเราเองจะเกิดใน พ.ศ. 2534 หลังจากที่ทางวงได้ยุติบทบาทไป แต่เราก็ได้ยินชื่อ สาว สาว สาว มานานและรู้จัก แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, แหม่ม-พัชริดา วัฒนา และ ปุ้ม-อรวรรณ เย็นพูนสุข ในฐานะศิลปินเดี่ยวและคนเบื้องหลังที่พัฒนาศิลปินหลายๆ คน และเคยได้ชมเรื่องราวของวงผ่านภาพยนตร์อย่าง แฟนฉัน รวมถึงรายการเชิงสารคดีเกี่ยวกับดนตรีที่ฉายในช่องรายการเพลงในเคเบิลทีวี ทำให้เรารู้ว่า ความสามารถของทั้ง 3 สมาชิกนั้นไม่ธรรมดา และถ้ามีโอกาสเราก็อยากชมการแสดงของวงสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยาก เพราะในช่วงที่ผ่านมาทั้ง 3 ศิลปินเคยทำงานอยู่กันคนละค่ายเพลง และแต่ละคนก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบในวงการทั้งในฐานะศิลปินและผู้อยู่เบื้องหลังนักร้องอีกหลายๆ คน
โดยล่าสุดทางผู้จัดอย่าง Atime Showbiz และ Change 2561 ก็ได้ทำความฝันดังกล่าวของเราและแฟนเพลงของวงให้เป็นจริงในที่สุด เพราะ ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ผู้บริหาร Change 2561 ก็เป็นแฟนเพลงของวง ที่ตัดสินใจลุยจัดคอนเสิร์ตในวันที่สมาชิกทุกคนพร้อมรวมตัวบนเวทีอีกครั้ง ในขณะที่ทั้ง 3 สมาชิกก็พร้อมที่จะขึ้นเวทีด้วยกัน และทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้เกิดขึ้นได้ในที่สุด >> ฉอด สายทิพย์ ไขข้อสงสัย! ทำไมถึงจัดคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 34 ปีของ สาว สาว สาว
กระแสของคอนเสิร์ต สาว สาว สาว นั้นแรงมาก จนทำให้บัตรคอนเสิร์ต 2 รอบ ในวันที่ 24-25 พฤศจิกายน ขายหมดอย่างรวดเร็ว และบัตรวันที่ 23 พฤศจิกายน รอบพิเศษที่เพิ่มเข้ามาก็ขายหมดเร็วเช่นกัน ทำให้เราไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมในวันที่ 25 พฤศจิกายน Royal Paragon Hall พื้นที่จัดงานถึงได้เต็มไปด้วยแฟนๆ ที่เนืองแน่น โดยมีทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และคนที่อยู่ในวัยทำงานรวมถึงนักศึกษามาร่วมชม ซึ่งที่น่าแปลกใจก็คือหลายๆ คนไม่เคยมาชมคอนเสิร์ตรูปแบบนี้มาก่อน จนทำให้หลายคนต้องถามทีมงานเกี่ยวกับวิธีการเข้างาน และหาที่นั่ง และในเวลาทุ่มกว่าการแสดงก็เริ่มขึ้น
ความประทับใจแรกของเราเริ่มขึ้นเมื่อ VTR ของคอนเสิร์ตได้ฉายขึ้น ซึ่งมาพร้อมภาพวิทยุก่อนจะค่อยๆ แพนไปหาภาพของสมาชิก และขึ้นชื่อของแต่ละคน เหมือนกับต้นเครดิตของภาพยนตร์ ก่อนที่ความสนุกจากเพลง “ประตูใจ”, “รักคือฝันไป” จะเริ่มขึ้นโดยทั้ง 3 ได้มาพร้อมลุคที่สดใส ก่อนจะพูดคุยกันเรื่องอายุที่มากขึ้นและความประทับใจในช่วงที่ผ่านมา และเปิดโอกาสให้แฟนคลับสองคนที่เป็นแฟนตัวยงได้พูดคุยเล่าความประทับใจ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงโชว์เพลงที่เริ่มด้วยซิงเกิล “แพะยิ้ม” จากอัลบั้มแรกอย่าง ปักใจ ก่อนตามด้วยเพลงช้าอย่าง “อยากลืม”, “ขอเพียงสัญญา”, “มิอาจรัก”, “ด้วยแรงแห่งรัก” จากอัลบั้มชุดที่ 2 ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเพลงจากอัลบั้มที่ 3 อย่าง “เป็นแฟนกันได้ยังไง” ที่มีชื่อเดียวกับอัลบั้ม และ “บอกฉันว่าไง”
เนื่องจากการเรียงเพลงของคอนเสิร์ต จะเริ่มจากอัลบั้มแรกไปจนถึงอัลบั้มชุดสุดท้าย ทำให้ช่วงพักก็จะมีคนที่เคยร่วมงานกับวงสาว สาว สาว ออกมาเล่าถึงความทรงจำที่มีต่อวง อย่างเช่น ระย้า-ประเสริฐ พงษ์ธนานิกร ผู้บริหารค่าย รถไฟดนตรี ที่เล่าถึงจุดเริ่มต้นของวง และทีมนักแต่งเพลงกับคนที่เคยร่วมงานกับวงมาเล่าความทรงจำของตัวเอง ในช่วงที่เปลี่ยนผ่านเวที สู่ช่วงกลางของโชว์ ซึ่งทั้ง 3 ก็ได้ออกมาร้องเพลงที่แอมแต่งให้สมาชิก โดยปุ้มได้ร้องเพลง “เพียงเพราะว่า” ส่วนแหม่มก็ได้ร้องเพลง “ฟ้ากว้างทางไกล” ที่ตอนแรกแอมแต่งให้แหม่ม แต่ในภายหลังแอมได้ร้องเพลงนี้แทนในอัลบั้ม ในขณะที่แอมก็ร้องเพลง “ไม่มีเธอ” ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเพลง “หาคนร่วมฝัน” จากอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกัน และเพลงจากอัลบั้ม ในวัยเรียน อย่าง “ภาพฝัน”, “Telephone” และ “ในวัยเรียน” ที่ทั้ง 3 แต่งชุดนักเรียนออกมาร้องในโชว์ที่กลุ่มแดนเซอร์และเวทีได้จำลองฉากการเต้นที่ตระการตา
ใครที่ชอบเพลงอัลบั้มชุด แมกไม้และสายธาร ที่เป็นแนวโฟล์คซองนั้น ทางวงเองก็ได้สานฝันของแฟนๆ ด้วยการหยิบเพลงจากอัลบั้มนี้มาร้องให้ทุกคนได้ชมกันอย่าง “คืนใจ”, “ทุ่งอ้อ”, “บทเพลงชีวิต” พร้อมเปลี่ยนเวทีให้เป็นเหมือนทุ่งหญ้าแสนอบอุ่น ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเพลงสากลจากอัลบั้มชุดที่ 7 ที่มีเพลง “Because I Love You”, “When We Make A Home” และ “Helplessly Hoping” ก่อนจะเซอร์ไพรส์ทุกคนด้วยการร้องเพลง “Hey Mickey” ของ Toni Basil
ช่วงท้ายของการโชว์เพลง สาว สาว สาว ทางวงได้เผยคลิปการไปงาน Tokyo Music Festival และการร้องเพลง “ฉันบอกเธอเอง” จากอัลบั้ม ว้าว..ว! พร้อมชุดที่เหมือนการแสดงครั้งดังกล่าว ก่อนที่พวกเธอจะพูดถึงเพลง “ดอกไม้ของน้ำใจ” ที่ได้รับจากนักแต่งเพลงที่พวกเธอร่วมงานในคอนเสิร์ตดังกล่าว รวมถึงการตัดสินใจประกาศยุติบทบาทของวง และปิดท้ายช่วงเพลงวงด้วยการร้องเพลง “ดอกไม้ของน้ำใจ” แบบประสานเสียง โดยถึงแม้ว่าในช่วงแรกของการแสดงเราจะแทบไม่รู้จักเพลงที่วงนำมาร้อง แต่เนื้อเพลงของวงที่มาพร้อมภาษาสละสลวย กับความสามารถในการร้องของทั้ง 3 ศิลปินก็ทำให้เราเคลิ้มและเพลิดเพลินไปกับโชว์ที่ทางวงได้เตรียมมา
เมื่อช่วงเพลงของวงจบลง VTR ที่ทั้ง 3 พูดถึงการทำงานเดี่ยวก็เริ่มขึ้น ก่อนที่ปุ้มจะโชว์เพลง “ป่านนี้” ที่มาพร้อมแขกรับเชิญคนแรกอย่าง ตั๊ก-ศิริพร อยู่ยอด เพื่อนศิลปินที่เคยทำงานกับเธอตอนทำเพลงกับ แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ ก่อนทั้งคู่จะร้องเพลง “ฉันไม่ใช่นางเอก” ของ ตั๊ก โดยแสดงบทเหมือนเป็นคนรักที่งอนกัน และพูดคุยถึงวันวานที่ทำงานด้วยกัน ซึ่งระหว่างที่พูดคุย นุ้ย เชิญยิ้ม (ชูเกียรติ เอี่ยมสุข) สามีก็นำดอกไม้มามอบให้ทั้งตั๊ก และ ปุ้ม โดยแกล้งให้ช่อดอกไม้ใหญ่กับปุ้มจนสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม
ในพาร์ทของ แหม่ม นั้น เธอได้มากับเพลง “ทิ้ง” ซิงเกิลจากอัลบั้มเดี่ยว ผู้หญิงมีฝัน ที่เคยเป็นเพลงดังของวง The Outsiders ก่อนตามด้วยเพลง “แปลกดีนะ”, “ติ๊กต่อก” ของวง สาว สาว สาว ซึ่งมาพร้อมเซอร์ไพรส์ เมื่อลูกศิษย์อย่าง แดน-วรเวช ดานุวงศ์ และ บีม-กวี ตันจรารักษ์ ได้มาร่วมแสดงในฐานะแขกรับเชิญของเธอ เพราะทั้งคู่เองเป็นศิลปินที่แหม่มเลือกเข้ามาทำเพลงในค่าย RS และดูแลมาตลอดตั้งแต่วันแรก หรือแม้แต่วันที่พวกเขาเจอเหตุการณ์ยากลำบาก ซึ่งทำให้เรารู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นทั้ง 2 สมาชิกบอยเเบนด์ที่เป็นตำนานและเป็นลูกศิษย์ของ แหม่มในวันนี้ โดยช่วงพูดคุย แดน และ บีม เองก็ได้หลั่งน้ำตาออกมาด้วย แต่ตอนที่เราดูโชว์จบก็ทำให้เราแอบเสียดายเล็กๆ ที่ไม่ได้ฟังเพลงเดี่ยวเพลงอื่นของ แหม่ม พัชริดา ที่เธอได้ทำออกมาหลังแยกวง
ทางฝั่งของ แอม นั้นก็เลือกเพลง “กดดัน” ซิงเกิลแรกที่แจ้งเกิดเธอในฐานะศิลปินเดี่ยวมาร้อง ก่อนจะเผยแขกรับเชิญอย่าง อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์ และ เบน-ชลาทิศ ตันติวุฒิ รุ่นน้องที่ร่วมงานกับเธอบ่อยครั้ง ซึ่งมาร้องเพลงดังกล่าวกับเธอ ก่อนทั้ง 3 จะทำให้ทุกคนเซอร์ไพรส์ ด้วยการนำเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย (Koisuru Fortune Cookie)” ของวงไอดอลหญิงที่มาแรงในขณะนี้ BNK48 มาร้องบนเวที ซึ่งทำให้เราดีใจมากและแอบเต้นโอนิกิริตาม ในขณะที่แหม่มและปุ้มได้เข้ามาแจม และพูดคุย กับอ๊อฟ และ เบน ถึงมุมมองการเป็นแฟนคลับ สาว สาว สาว ของทั้งคู่
ช่วงสุดท้ายของคอนเสิร์ต สมาชิก สาว สาว สาว และแขกรับเชิญ ได้ออกมาร้องเพลง “ประตูใจ”, “รักคือฝันไป”, “เป็นแฟนกันยังไง” และ “Thank you” ที่มาพร้อมโปรเจ็กต์ชูป้ายบอกรักจากแฟนๆ ก่อนที่พวกเธอจะพูดคุยและขอบคุณแฟนๆ พร้อมเผยความรู้สึกที่ได้กลับมาเจอกันและการที่ผลงานเพลงของพวกเธอได้อยู่มายาวนานจนถึงปัจจุบัน และอำลาทุกคนด้วยเพลง “ดอกไม้ของน้ำใจ” อีกครั้งเพื่อส่งแฟนๆ กลับบ้าน โดยพวกเธอได้โบกมือลาแฟนๆ อย่างเป็นกันเอง
สิ่งแรกที่ทำให้เรารักคอนเสิร์ตครั้งนี้ ก็คือการเรียงเรื่องราวหรือสตอรี่บอร์ดในรูปแบบภาพยนตร์สารคดี ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่มากับ VTR เหมือนเปิดตัวภาพยนตร์ การไล่เรียงเพลงจากอัลบั้มแรกจนถึงอัลบั้มสุดท้าย และเพลงเดี่ยวที่มากับแขกรับเชิญซึ่งผูกพันกับวง และการให้ผู้ที่เคยร่วมงานมาพูดใน VTR เหมือนกับภาพยนตร์สารคดี รวมถึงช่วงที่ให้สาวๆ พูดถึงการทำงาน อย่างเช่นตอนที่ต้องลองผิดลองถูกแต่งตัวกันเอง และการทำงานเบื้องหลังในอัลบั้มชุดต่างๆ ซึ่งทำให้นอกจากเราจะรู้จักวงมากขึ้นแล้ว การทำแบบนี้ยังทำให้คนที่ไม่รู้จักวง ซึ่งอยู่ในฮอลล์ได้อินกับโชว์ด้วย รวมถึงเราเองที่ถึงแม้จะรู้จักเพลงของวงไม่กี่ซิงเกิล แต่ก็เพลิดเพลินกับโชว์และการเล่าเรื่องในคอนเสิร์ตครั้งนี้ตลอดเวลา 4 ชั่วโมง
อีกสิ่งที่เราชื่นชอบ ก็คือการทำงานของสมาชิกทั้ง 3 เพราะถึงแม้ แหม่ม ปุ้ม และ แอม จะเล่าว่าพวกเธอไม่ถนัดการเต้น และเต้นผิดไปบ้าง แต่ในแง่การร้องพวกเธอทำได้ดีมาก ทั้งการร้องเพลงเดี่ยว และเพลงรวมที่ต้องประสานเสียง สมกับที่เป็นดีว่าและศิลปินระดับครูที่มีผลงานเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายชิ้น ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราทึ่งยิ่งกว่าความสามารถ ก็คือเคมีการทำงานของทั้ง 3 ในการร้องเพลงและพูดคุยตบมุก ซึ่งน่าทึ่งมาก โดยการแสดงที่ประสานกันอย่างลงตัว ทำให้เราคิดขึ้นมาตอนคอนเสิร์ตจบว่า “สมาชิก สาว สาว สาว เกิดมาเพื่อร้องเพลงด้วยกันจริงๆ”
ในส่วนของผู้จัดงานนั้น เราเองก็มองว่าการจัดงานครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า Atime Showbiz ทำงานออกมาได้ดีมาก ทั้งการที่เปิดให้แฟนๆ เข้างานได้เร็ว รวมถึงการดูแลแฟนๆ ที่อาจไม่เคยดูคอนเสิร์ต โดยในพาร์ทดนตรีนั้น ทางทีมงานก็ได้เตรียมวงดนตรีสนับสนุนที่มาพร้อมเครื่องดนตรีหลากหลาย ทั้งดนตรีสากล ไปจนถึงเครื่องเป่าและเครื่องเคาะจังหวะที่เหมาะสมกับซาวด์ดนตรีของแต่ละเพลง รวมถึงทีมแดนเซอร์จาก D Dance จนทำให้ภาพรวมของโชว์ออกมาค่อนข้างสมบูรณ์
ตอนที่เราเดินออกจากฮอลล์คอนเสิร์ต สิ่งแรกที่เราภาวนาในใจก็คือ “ขออย่าให้ครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้เห็น สาว สาว สาว ทำงานด้วยกัน” เพราะสมาชิกทั้ง 3 เต็มไปด้วยความสามารถ และ บุคลิกที่สร้างรอยยิ้ม จนทำให้เรามองว่าในอนาคต ถ้าพวกเธอมีรายการออนไลน์ รายการทีวี หรือแม้แต่คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งต่อไป แฟนๆ น่าจะติดตามและชมผลงานของพวกเธอพร้อมรอยยิ้ม เหมือนตอนที่พวกเขาชม คอนเสิร์ต สาว สาว สาว ครั้งนี้ที่แฟนๆ รอมา 34 ปี
ขอบคุณภาพจาก Atime Showbiz
Story : Sidhipong W. <27 พ.ย. 61 15.36 น.>
ที่มา:- sanook!